• Home page
  • NEWS Room
  • สิงห์ เอสเตท ปิดการขาย บ้านสันติบุรี มูลค่ากว่า 5,000 ล้าน สะสมศักยภาพการสร้างบ้านที่เต็มไปด้วยคุณค่า และความใส่ใจ
12 Dec 2021

สิงห์ เอสเตท ปิดการขาย บ้านสันติบุรี มูลค่ากว่า 5,000 ล้าน สะสมศักยภาพการสร้างบ้านที่เต็มไปด้วยคุณค่า และความใส่ใจ

สิงห์ เอสเตท ปิดการขาย บ้านสันติบุรี มูลค่ากว่า 5,000 ล้าน สะสมศักยภาพการสร้างบ้านที่เต็มไปด้วยคุณค่า และความใส่ใจ

สิงห์ เอสเตท รายงานรายได้รวมจากการขายและการบริการสำหรับ 9 เดือนแรก จำนวน 10,072 ล้านบาท โดยรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ เติบโตเด่นถึง 34% ด้วยแรงส่งสำคัญจากการเปิดตัว 3 โครงการ ภายใต้ 3 แบรนด์ซึ่งรวมถึงโครงการใหญ่ S’RIN ราชพฤกษ์-สาย 1 ที่มีมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาทและพร้อมเริ่มรับรู้รายได้ทันทีในปี  ในขณะที่รายได้จากธุรกิจให้บริการปรับตัวเพิ่มขึ้น 16% และแรงส่งสำคัญในไตรมาส 4 ที่ห้องพักโรงแรมสำคัญในไทยและฟิจิซึ่งอยู่ระหว่างการปรับปรุงเตรียมเปิดต้อนรับผู้เข้าพักในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว หนุนอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยรายวันโตกระโดด
n
nกรุงเทพฯ (13 พฤศจิกายน 2566) - บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ประกาศรายได้รวมจำนวนเติบโตขึ้น 19% โดยรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทฯ จำนวน 1,902 ล้านบาท เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญถึง 34% ซึ่งประกอบด้วย (1) ยอดโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัยสะสม 9 เดือนจำนวน 1,692 ล้านบาท ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการเปิดตัวโครงการพร้อมโอน “ลาซัวว์ เดอ เอส” โครงการแฟล็กชิพ ประเภท Cluster Home ระดับอัลตร้าลักชัวรี่ การรับรู้รายได้เต็มจำนวนของโครงการ ดิ เอส สุขุมวิท 36 ที่สิงห์ เอสเตทเข้าถือหุ้น 100% เพื่อรองรับโอกาสการฟื้นตัวของดีมานด์กลุ่มคอนโดมิเนียม และการโอนกรรมกรรมสิทธ์ของโครงการศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส (2) รายได้จากการขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรม จำนวน 36 ล้านบาท รวมถึง (3) การรับรู้ค่าเช่าของโครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์ ตามสัญญาเช่าพื้นที่ระยะยาวจำนวน 175 ล้านบาท 
n
nสำหรับรายได้จากการให้บริการของบริษัทฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 16% มีสาเหตุสำคัญมาจากรายได้ของธุรกิจโรงแรมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 18% สู่จำนวน 7,222 ล้านบาท ซึ่งได้อานิสงส์จากการฟื้นตัวต่อเนื่องของอุตสาหกรรมการท่ยนองเที่ยวทั่วโลก โดยอัตราการเข้าพักเฉลี่ยของโรมแรมบริษัทฯ ที่คำนวณเฉพาะห้องพักที่เปิดให้บริการของบริษัทฯ ที่ 71% ปรับเพิ่มขึ้นถึง 12% จากปีก่อนหน้า รวมถึง ADR ที่เติบโตจากศักยภาพในการปรับราคาของ SHR ที่มีจุดแข็งด้านทำเลที่ตั้งของโรงแรมที่อยู่ในจุดหมายปลายทางอันดับต้นๆ ของการท่องเที่ยว มาตรฐานการบริการที่เป็นเลิศ และกลยุทธ์ทางการตลาดเชิงรุก สำหรับรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ในช่วงครึ่งปีแรกจำนวน 259 ล้านบาททรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี จากการทยอยรับรู้รายได้ตามการส่งมอบพื้นที่เช่าของอาคารเอส โอเอซิส (S OASIS) 
n
nนางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ‘S’ เปิดเผยว่า “เราผลักดันรายได้ของสิงห์ เอสเตท ในช่วง 9 เดือนแรกให้เติบโตได้ตามแผนการลงทุน ควบคู่กับการคุมต้นทุนต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพเหมาะสมกับช่วงการขยายธุรกิจและเปิดตลาดใหม่ ส่งผลให้เรามีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และรายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจำจากการดำเนินงานปกติ (Adjusted EBITDA) ที่ 2,276 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ผลการดำเนินงานดังกล่าวเป็นตัวพิสูจน์การปรับตัวทางธุรกิจให้สามารถช่วงชิงโอกาสได้ทันกับการฟื้นตัวของธุรกิจที่พักอาศัยและโรงแรม และสะท้อนผลสำเร็จจากการพัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์การส่งเสริมคุณภาพชีวิตของลูกค้า ที่สิงห์ เอสเตทได้ทำมาตลอด และเราเชื่อมั่นว่าในไตรมาสที่ 4 เราจะสามารถขับเคลื่อนผลประกอบการที่สูงที่สุดในปีได้ เนื่องจากการรับรู้ยอดโอนของโครงการใหม่ สริน ราชพฤกษ์สาย 1 ที่มีมูลค่า 3,800 ล้านบาทและเปิดตัวในต้นไตรมาส 4 ที่ผ่านมา ได้รับความสนใจอย่างดีและมียอดจองเป็นไปตามเป้าหมายกว่า 10% รวมถึงพอร์ตโรงแรมของ SHR ซึ่งเป็นผลจากการที่ห้องพักรูปแบบใหม่ที่ได้รับการปรับปรุงแล้ว พร้อมเปิดให้บริการลูกค้าในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวของปี พร้อมทั้งปริมาณความต้องการเดินทางของลูกค้า Long-haul market ที่กลับมาคึกคักอีกครั้งตามการเปิดเส้นทางบิน
n
nในปีนี้ สิงห์ เอสเตท ลงทุนขยายโครงการบ้านแนวราบครบทุกเซกเมนท์ลักชัวรีตามแผนงาน และยังคงไว้ซึ่งการถ่ายทอด DNA ที่ยึดถือในการพัฒนาโครงการให้ได้คุณภาพระดับ “Best in Class” แม้ว่าเซ็กเมนท์ที่เราขยายเข้ามาใหม่นี้ ถือว่าสิงห์ เอสเตทได้เข้ามาแข่งขันในตลาดนี้เป็นครั้งแรก แต่ก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า เนื่องจากความเชื่อมั่นต่อความเชี่ยวชาญในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี่ และความเชื่อถือแบรนด์ของสิงห์ เอสเตท ในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพเหนือระดับเพื่อส่งมอบประสบการณ์อันทรงคุณค่าให้ลูกค้า” 
n
nนางฐิติมากล่าวเสริมว่า “นับเป็นก้าวที่สำคัญของสิงห์ เอสเตท ในการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงตลาดลูกค้าใหม่ โดยเราจะมีแบรนด์ต่างระดับที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ตรงจุดและหลากหลาย เราจะเน้นเจาะตลาดกลุ่ม SUPER LUXURY ในกลุ่มราคา 50-100 ล้านบาทด้วยแบรนด์ SIRANINN เสริมทัพด้วยการเข้าสู่ตลาดระดับ PREMIUM LUXURY ในกลุ่มราคา 30-50 ล้านบาทด้วยแบรนด์ S’RIN พร้อมช่วงชิงโอกาสในขอบบนของกลุ่มตลาด LUXURY ในกลุ่มราคา 10-30 ล้านบาทที่ครองส่วนแบ่งการตลาดใหญ่ที่สุดของบ้านแนวราบ ด้วยแบรนด์ SHAWN ที่เราพึ่งเปิดตัวไปนี้ นอกจากนั้นแล้ว เรายังมีอีก 1 โปรดักส์ที่พัฒนาและออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความยืดหยุ่นอย่าง SMYTH ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลท์สำคัญของกลุ่มธุรกิจบ้านเดี่ยวในปีนี้ คือ การขยายพอร์ต ULTRA LUXURY ที่ระดับราคาสูงกว่า 100 ล้านบาท ในรูปแบบบ้านแบบ Cluster home ซึ่งจะเป็นบ้านที่ดีไซน์มาเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างของลูกบ้านแต่ละหลัง โดยบริษัทฯ เชื่อว่าการพัฒนาโครงการรูปแบบนี้ จะช่วยปลดล็อคข้อจำกัดในการเข้าถึงที่ดินขนาดใหญ่บนทำเลศักยภาพ โดยเรามองเห็นโอกาสในการเติบโตและการขยายธุรกิจในกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของรูปแบบของบ้านสั่งสร้าง และยังคงไว้ซึ่งคุณภาพและแนวการพัฒนาด้วยอัตลักษณ์ในแบบฉบับของสิงห์ เอสเตท”
n
nแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2567 ในธุรกิจที่พักอาศัยนั้น นอกเหนือจาก backlog ราว 4,000 ล้านบาท เสริมทัพด้วย Product บ้านเดี่ยวพร้อมขายที่เราพึ่งเปิดตัวในช่วงสิ้นปีแล้ว สิงห์ เอสเตทเตรียมพร้อมส่งมอบห้องชุดในกับลูกค้าโครงการ ดิ เอ็กโทร พญาไทรางน้ำ ในช่วงต้นปี 2567 รวมถึงคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ที่ได้เข้าร่วมลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจในการพัฒนาคอนโดในเซ็กเมนต์ที่มีส่วนแบ่งการตลาดใหญ่และเติบโตดีที่สุด ในระดับราคา 100,000 – 200,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งอยู่นอกเหนือจาก Pillar แบรนด์ที่พัฒนาโดยสิงห์ เอสเตท เอง โดยโครงการร่วมทุนนี้ จะตอบโจทย์ให้เราเข้าช่วงชิงโอกาสจากการฟื้นตัวของตลาดคอนโดในกลุ่มรายได้ระดับปานกลางขึ้นไป โดยบริษัทฯ วางแผนจะเปิดขายในปี 2567 เป็นต้นไป
n
nสำหรับธุรกิจโรงแรมมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นชัดเจนในไตรมาสสุดท้ายของปี ต่อเนื่องไปจนถึงปี 2567 จากการเติบโตต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว และสัญญาณการฟื้นตัวของการเดินทางระหว่างภูมิภาคซึ่งสอดคล้องกับการเพิ่มเส้นทางบิน โดยในปี 2566 นี้ ถือเป็นปีแรกที่การท่องเที่ยวทั่วโลกเปิดเต็มรูปแบบ ซึ่งเราเห็นแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของลูกค้าตลาดใหม่ๆ ในทุกภูมิภาคที่เราดำเนินงาน ซึ่งเราไม่รีรอที่จะช่วงชิงโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าศักยภาพเหล่านั้น และเตรียมความพร้อมในการนำเสนอรูปแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์กระแสนิยมในการท่องเที่ยว พร้อมด้วยมาตรฐานในการบริการอันเลิศ
n
nทั้งนี้ การปรับปรุงโรงแรมตามแผนการยกระดับประสิทธิภาพพอร์ตโฟลิโอ หรือ Major Renovation ของโรงแรมที่เป็นสินทรัพย์ศักยภาพของ SHR ได้แก่ โรงแรม Outrigger Fiji Beach Resort, โรงแรม ทราย ลากูน่า ภูเก็ต, โรงแรม ทราย พีพี ไอซ์แลนด์ วินเลจ และโรงแรมบางส่วนในสหราชอาณาจักรยังคงเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ โดยห้องพักรูปแบบใหม่จะพร้อมส่งมอบห้องคืนและเปิดให้บริการกับนักท่องเที่ยวอีกครั้งในช่วง high season ของแต่ละประเทศ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างผลกำไรที่มีประสิทธิภาพ โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายว่าห้องพักที่ได้รับการปรับปรุงแล้วจะสามารถยกระดับ ADR ได้เฉลี่ยในช่วง 15% - 25%
n
n“เรามีความมั่นใจที่จะทำตามเป้าหมายในการสร้างรายได้ที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ และวางรากฐานที่แข็งแกร่งเพื่อมุ่งเป้าสู่การเติบโตระยะยาว พร้อมด้วยปรัชญาการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้วยพันธสัญญาต่อลูกค้า คู่ค้า ตลอดจนสังคม และการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการรักษาวินัยทางการเงินที่ดี และการเตรียมความพร้อมในการเข้าถึงเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสมที่สุดกับสภาวะตลาดในแต่ละช่วง เพื่อเพิ่มความพร้อมในการสนับสนุนการขยายการเติบโตให้กับบริษัทอย่างต่อเนื่อง และคงระดับสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนให้เป็นไปตามนโยบายในการบริหารจัดการของบริษัท” นางฐิติมา กล่าวเสริม

n
Share :