• Home page
  • Blogs Room
  • ESG Rating การจัดอันดับธุรกิจ สู่การลงทุนที่ยั่งยืน
02 Dec 2024

ESG Rating การจัดอันดับธุรกิจ สู่การลงทุนที่ยั่งยืน

ESG Rating การจัดอันดับธุรกิจ สู่การลงทุนที่ยั่งยืน

ในโลกธุรกิจปัจจุบัน แนวคิดเรื่องความยั่งยืนกำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้าน ESG ซึ่งย่อมาจาก Environmental (สิ่งแวดล้อม), Social (สังคม), และ Governance (ธรรมาภิบาล) ESG Rating จึงเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ใช้วัดประสิทธิภาพขององค์กรต่าง ๆ ในปัจจุบัน

ESG Rating คืออะไร?

ESG Rating คือ การประเมินผลการดำเนินงานขององค์กรในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล โดยหน่วยงานอิสระ ซึ่งการประเมิน ESG Rating จะช่วยให้เห็นภาพรวมของการดำเนินงานขององค์กรในด้านต่าง ๆ มากขึ้น โดยสะท้อนถึงความรับผิดชอบและความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ 

โดยทั่วไปแล้ว ESG Rating จะถูกนำเสนอในรูปแบบของคะแนน หรือเกรด เช่น 1-10 หรือ A-F หรืออาจจะอยู่ในรูปแบบของกลุ่ม (bands) เช่น Low, Medium, High เป็นต้น

องค์ประกอบของ ESG

การดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม (E) ครอบคลุมเรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อม เช่น การจัดการพลังงาน การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การลดมลพิษ การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ

การดำเนินงานด้านสังคม (S) เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ขององค์กรกับสังคม เช่น สิทธิมนุษยชน ความปลอดภัยในการทำงาน การดูแลพนักงาน ความหลากหลายทางเชื้อชาติและเพศ และการมีส่วนร่วมในชุมชน

การดำเนินงานด้านธรรมาภิบาล (G) เน้นเรื่องการบริหารจัดการภายในองค์กร เช่น โครงสร้างการบริหาร การมีส่วนร่วมความโปร่งใส และจริยธรรมทางธุรกิจ

ความสำคัญของ ESG Rating

ปัจจุบันผู้คนตระหนักถึงความสำคัญของความยั่งยืนมากขึ้น ESG Rating จึงกลายเป็นตัวชี้วัดที่นักลงทุน องค์กร และผู้บริโภคใช้ร่วมกับข้อมูลอื่นๆ ในการตัดสินใจ

1. สำหรับนักลงทุน ช่วยในการตัดสินใจลงทุนโดยพิจารณาถึงความเสี่ยง และโอกาสในระยะยาว

2. สำหรับองค์กร ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ที่ดีเพื่อดึงดูดนักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ลดความเสี่ยงทางธุรกิจจากปัจจัยภายนอก เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ    

3. สำหรับสังคม ช่วยส่งเสริมให้องค์กรมีความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมมากขึ้น


วิธีการคำนวณ ESG Rating

การคำนวณ ESG Rating ดำเนินการโดยหน่วยงานจัดอันดับอิสระ เช่น MSCI, Sustainalytics, และ S&P Global ซึ่งแต่ละหน่วยงานอาจมีวิธีการคำนวณ รวมถึงเกณฑ์การให้คะแนนที่แตกต่างกัน โดยพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้

1. บรรษัทภิบาลและเศรษฐกิจ 

  • บรรษัทภิบาล
  • จรรยาบรรณธุรกิจ (Code of Conduct) และการต่อต้านการทุจริต
  • การระบุประเด็นที่เป็นสาระสําคัญของธุรกิจ (Materiality)
  • การบริหารความเสี่ยงและภาวะวิกฤต
  • การบริหารจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า
  • การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน
  • การดําเนินการด้านภาษี
  • นวัตกรรมทางธุรกิจเพื่อสังคมและ/หรือสิ่งแวดล้อม
  • ความปลอดภัยของข้อมูลและระบบสารสนเทศ
  • การบริหารคุณภาพการให้บริการ
  • การบริหารคุณภาพผลิตภัณฑ์
  • การสื่อสารการตลาดอย่างมีความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค

2. สิ่งแวดล้อม

  • การจัดการสิ่งแวดล้อม
  • การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
  • การจัดการด้านสภาพภูมิอากาศ
  • คุณภาพวัสดุก่อสร้าง
  • ความรับผิดชอบต่อผลิตภัณฑ์
  • การจัดหาวัตถุดิบอย่างรับผิดชอบ
  • ความเสี่ยงจากการใช้น้ํา
  • ความหลากหลายทางชีวภาพ

3. สังคม

  • การเคารพสิทธิมนุษยชนและการปฏิบัติต่อแรงงานอย่างเป็นธรรม
  • การพัฒนาศักยภาพแก่พนักงาน
  • การจูงใจและรักษาพนักงาน
  • สุขภาวะและความปลอดภัยในสภาพแวดล้อมการทํางาน
  • การมีส่วนร่วมกับชุมชนและสังคม
  • การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสีย
  • การมีส่วนร่วมกับชุมชนและเพิ่มโอกาสการเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศและบริการดิจิทัล
  • การทำธุรกิจทางการเงินหรือประกันภัยอย่างรับผิดชอบ
  • การเพิ่มโอกาสการเข้าถึงบริการทางการเงินหรือการประกันภัย

แบบประเมินความยั่งยืนมีการให้คะแนนไม่เท่ากันในแต่ละตัวชี้วัด แล้วบางกลุ่มอุตสาหกรรมอาจมีหรือไม่มีบางหัวข้อ รวมไปถึงการให้น้ำหนักในแต่ละมิติก็อาจไม่เท่ากันกับอุตสาหกรรมอื่น


ประโยชน์ของ ESG Rating

1. สำหรับบริษัท

  • ช่วยเพิ่มโอกาสในการระดมทุน
  • ปรับปรุงการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
  • สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน

2. สำหรับนักลงทุน

  • ลดความเสี่ยงในการลงทุน
  • เพิ่มโอกาสในการลงทุนที่ยั่งยืน
  • สร้างผลตอบแทนในระยะยาว

3. สำหรับสังคมและสิ่งแวดล้อม

  • ส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน
  • ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
  • สร้างสังคมที่เท่าเทียมและเป็นธรรม


ความท้าทายและข้อจำกัดของ ESG Rating

1. ความไม่สอดคล้องระหว่างหน่วยงานจัดอันดับ แต่ละหน่วยงานอาจมีเกณฑ์การประเมินที่แตกต่างกัน

2. ความยากในการวัดผลบางปัจจัยบางประเด็น เช่น ผลกระทบต่อสังคม อาจวัดผลเชิงปริมาณได้ยาก

3. การปรับตัวเพื่อคะแนน บางบริษัทอาจมุ่งเน้นการทำคะแนนให้สูงโดยไม่ได้พัฒนาอย่างแท้จริง

*ภาพจาก SET ESG Rating 

อ้างอิง : https://setsustainability.com/ESG-ratings


ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนรายงานข้อมูล ESG มีการจัดทำดัชนี SET ESG Rating ซึ่งประกอบด้วยหุ้นที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG ทำให้บริษัทหลายแห่งเริ่มดำเนินงานและให้ความสำคัญกับ ESG มากขึ้น ซึ่ง สิงห์ เอสเตท เป็นหนึ่งในบริษัทที่ให้ความสำคัญและพัฒนาทางด้าน ESG มาอย่างต่อเนื่อง

สิงห์ เอสเตท ได้รับการประกาศให้อยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืน หรือ SET ESG Index ประจำปี 2566 ซึ่ง สิงห์ เอสเตท ได้ต่อเนื่องมา 5 ปี รวมถึงได้รับการประเมินด้านความยั่งยืน หรือ SET ESG Rating ในระดับ A และได้รับการประเมินคะแนนจากโครงการสำรวจการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนประจำปี 2566 (Corporate Governance Report of Thai Listed Companies 2023 (CGR) ในระดับดีเลิศ (Excellent) หรือระดับ 5 ดาว จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) เนื่องจากบริษัทมีการดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใสและยึดหลักธรรมาภิบาลที่ดี ซึ่งหมายถึงการจัดการที่มีความรับผิดชอบ มีการปฏิบัติตามข้อกำหนดที่เข้มงวดในด้านการบริหารจัดการองค์กร นอกจากนี้ยังมีการประเมินความเสี่ยงอย่างครอบคลุมในทุกกลุ่มธุรกิจ รวมถึงความเสี่ยงด้านการทุจริตคอร์รัปชันและการบริหารห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับการตรวจสอบและประเมินคู่ค้าในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG)

ESG Rating เป็นการจัดอันดับที่สะท้อนถึงการดำเนินการของบริษัทในมิติของความยั่งยืน ไม่ใช่เพียงเพื่อการสร้างผลกำไร แต่การดำเนินงานด้าน ESG แสดงถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ซึ่งเป็นปัจจัยที่นักลงทุนยุคใหม่ให้ความสำคัญ เพราะสามารถช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนระยะยาวที่มีความยั่งยืนและชี้วัดได้ สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนอย่างยั่งยืน ESG Rating เป็นกลยุทธ์หนึ่งที่สามารถใช้ประกอบการตัดสินใจ แต่ควรระวังว่า ESG Rating เป็นเพียงการประเมินด้านหนึ่งเท่านั้น การพิจารณาลงทุนยังคงต้องรวมถึงการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานอื่นๆ ของบริษัท เพื่อการตัดสินใจและวางแผนการลงทุน


อ้างอิง :  https://setsustainability.com/ESG-ratings

Share :