• Home page
  • Blogs Room
  • คาร์บอนเครดิต โอกาสการลงทุนในความยั่งยืน
29 Apr 2025

คาร์บอนเครดิต โอกาสการลงทุนในความยั่งยืน

คาร์บอนเครดิต โอกาสการลงทุนในความยั่งยืน

คาร์บอนเครดิตเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ คาร์บอนเครดิตเกิดขึ้นจากการดำเนินงานขององค์กรหรือโครงการที่สามารถลดหรือกักเก็บก๊าซเรือนกระจกได้จริง และสามารถนำเครดิตส่วนเกินที่ได้จากการลดการปล่อยก๊าซดังกล่าวไปซื้อขายในตลาดคาร์บอนได้ องค์กรที่ซื้อคาร์บอนเครดิตนั้น มีเป้าหมายเพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนเอง เพื่อให้ยังคงอยู่ในเส้นทางการลดการปล่อยคาร์บอนตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ นับเป็นกลไกที่ส่งเสริมให้เกิดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยรวม และเป็นโอกาสทางธุรกิจที่น่าสนใจในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ


คาร์บอนเครดิต คือ

คาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) คือ ใบรับรองหรือสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gases: GHGs) ซึ่งวัดในรูปของตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2e) โดย 1 คาร์บอนเครดิต หมายถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 1 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า องค์กรหรือบริษัทที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่าเป้าหมายที่กำหนด จะได้รับคาร์บอนเครดิตซึ่งสามารถนำไปขายให้กับองค์กรอื่นที่ไม่สามารถลดการปล่อยก๊าซได้ตามเป้าหมาย เป็นการสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

คาร์บอนเครดิตจึงเป็นเครื่องมือทางการเงินที่สำคัญในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน เนื่องจากช่วยให้การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีมูลค่าที่จับต้องได้ และสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ในตลาดคาร์บอน ทำให้เกิดแรงจูงใจทางเศรษฐกิจสำหรับผู้ประกอบการและนักลงทุนในการดำเนินโครงการที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก


ตลาดคาร์บอนเครดิต คือ

ตลาดคาร์บอนเครดิต คือ พื้นที่หรือระบบที่เอื้อให้เกิดการซื้อขายแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย โดยราคาซื้อขายจะถูกกำหนดโดยอุปสงค์และอุปทานในตลาด ตลาดคาร์บอนเครดิตแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก คือ ตลาดภาคบังคับ (Compliance Market) และตลาดภาคสมัครใจ (Voluntary Market)


ประเภทของคาร์บอนเครดิต


คาร์บอนเครดิตภาคบังคับ (Compliance Carbon Credits)

คาร์บอนเครดิตภาคบังคับเกิดขึ้นภายใต้กรอบกฎหมายและข้อบังคับที่รัฐบาลหรือองค์กรระหว่างประเทศกำหนดขึ้น เช่น พิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) และ ข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) โดยกำหนดให้ประเทศที่พัฒนาแล้วต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ตามเป้าหมายที่กำหนด

คาร์บอนเครดิตภาคบังคับมีมูลค่าสูงกว่าคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจ เนื่องจากมีความต้องการที่แน่นอนและถูกขับเคลื่อนโดยข้อกำหนดทางกฎหมาย ตัวอย่างของคาร์บอนเครดิตภาคบังคับ ได้แก่ Certified Emission Reductions (CERs) ภายใต้กลไกการพัฒนาที่สะอาด (Clean Development Mechanism: CDM) ของพิธีสารเกียวโต และ European Union Allowances (EUAs) ภายใต้ระบบการซื้อขายใบอนุญาตปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสหภาพยุโรป

คาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจ (Voluntary Carbon Credits)

คาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจเกิดจากความสมัครใจขององค์กรหรือบุคคลที่ต้องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยไม่ได้ถูกบังคับด้วยกฎหมาย แต่เกิดจากความตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (Corporate Social Responsibility: CSR) หรือเพื่อภาพลักษณ์ขององค์กร

คาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจมีความยืดหยุ่นมากกว่าคาร์บอนเครดิตภาคบังคับ และมีต้นทุนในการพัฒนาโครงการที่ต่ำกว่า ตัวอย่างของมาตรฐานคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ได้แก่ Verified Carbon Standard (VCS), Gold Standard และ Climate Action Reserve (CAR)

โครงการ T-VER คาร์บอนเครดิตของประเทศไทย

โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER) เป็นโครงการที่พัฒนาขึ้นโดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ TGO เพื่อส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนในประเทศไทยมีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในประเทศ

T-VER มีขอบเขตโครงการที่หลากหลาย เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน การใช้พลังงานทดแทน การจัดการของเสีย การจัดการในภาคป่าไม้ และการเกษตร เป็นต้น คาร์บอนเครดิตที่ได้จากโครงการ T-VER เรียกว่า "TVERs" สามารถนำไปซื้อขายในตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจภายในประเทศไทยได้


การซื้อขายคาร์บอนเครดิต

กระบวนการสร้างและรับรองคาร์บอนเครดิต

กระบวนการสร้างและรับรองคาร์บอนเครดิตประกอบด้วยขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้

1. การพัฒนาโครงการ การออกแบบโครงการที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น โครงการพลังงานหมุนเวียน การเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน หรือโครงการปลูกป่า

2. การประเมินและเก็บข้อมูลพื้นฐาน การกำหนดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในสถานการณ์ปกติ (Baseline) ก่อนเริ่มโครงการ

3. การยื่นขอรับรอง การยื่นเอกสารโครงการต่อหน่วยงานรับรอง (Validation Body) เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของวิธีการและข้อมูล

4. การดำเนินโครงการ การดำเนินโครงการตามแผนที่วางไว้ และการติดตามผลการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

5. การทวนสอบ การทวนสอบปริมาณการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจริงโดยหน่วยงานทวนสอบอิสระ (Verification Body)

6. การออกคาร์บอนเครดิต หลังจากการทวนสอบเสร็จสิ้น หน่วยงานที่รับผิดชอบจะออกคาร์บอนเครดิตให้กับโครงการตามปริมาณการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการทวนสอบแล้ว

ตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิต

ตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตมีทั้งตลาดแบบมีศูนย์กลาง (Centralized Exchange) และตลาดนอกศูนย์ (Over-the-Counter: OTC) ตลาดแบบมีศูนย์กลางเป็นตลาดที่มีการซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มกลาง มีความโปร่งใสของราคาและปริมาณการซื้อขาย เช่น European Energy Exchange (EEX) และ Intercontinental Exchange (ICE)

ส่วนตลาดนอกศูนย์เป็นการซื้อขายโดยตรงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย มักจะมีการต่อรองราคาและเงื่อนไขการซื้อขายเป็นรายกรณี เหมาะสำหรับโครงการที่มีลักษณะเฉพาะหรือมีปริมาณการซื้อขายที่ไม่มากนัก

ในประเทศไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้พัฒนาแพลตฟอร์ม "FTIX" (Federation of Thai Industries Carbon Credit Exchange) ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นศูนย์กลางในการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในประเทศไทย

กฏหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับ คาร์บอนเครดิต

กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับคาร์บอนเครดิตมีความแตกต่างกันในแต่ละประเทศและภูมิภาค ในระดับนานาชาติ พิธีสารเกียวโตและข้อตกลงปารีสเป็นกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ในประเทศไทย ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2566 เป็นกฎหมายที่อยู่ระหว่างการพิจารณาเพื่อกำกับดูแลเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและคาร์บอนเครดิต โดยมีแนวทางการจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ เพื่อกำกับดูแลนโยบายและมาตรการเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย

นอกจากนี้ ยังมีประกาศคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 17/2565 เรื่อง การเสนอขายหลักทรัพย์ที่ออกใหม่ประเภทใบรับรองการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือใบรับรองการเพิ่มพลังงานพูนเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน เพื่อกำกับดูแลการเสนอขายคาร์บอนเครดิตในตลาดทุนไทย


ประโยชน์และความสำคัญของคาร์บอนเครดิต

1. คาร์บอนเครดิตมีประโยชน์และความสำคัญหลายประการ ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม ดังนี้

2. การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก คาร์บอนเครดิตเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

3. การสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ คาร์บอนเครดิตช่วยสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจให้กับองค์กรในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เนื่องจากสามารถนำคาร์บอนเครดิตที่ได้ไปขายในตลาดคาร์บอนได้

4. การส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีสะอาด คาร์บอนเครดิตช่วยส่งเสริมการพัฒนาและการใช้เทคโนโลยีสะอาดที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

5. การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร การเข้าร่วมโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการซื้อคาร์บอนเครดิตช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กรในด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

6. การสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ คาร์บอนเครดิตช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ เช่น การพัฒนาโครงการลดก๊าซเรือนกระจก การทวนสอบโครงการ และการให้คำปรึกษาด้านการจัดการก๊าซเรือนกระจก


สถานการณ์ปัจจุบันและอนาคตของคาร์บอนเครดิต

ตลาดคาร์บอนเครดิตทั่วโลกมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมูลค่าตลาดคาร์บอนทั่วโลกในปี 2024 มีมูลค่าสูงถึงหลายแสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีแนวโน้มเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอนาคต เนื่องจากหลายประเทศและองค์กรทั่วโลกกำลังเร่งดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission)

ในประเทศไทย ตลาดคาร์บอนเครดิตกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยได้รับแรงหนุนจากนโยบายของภาครัฐที่ส่งเสริมการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และความตระหนักของภาคเอกชนในเรื่องความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ประเทศไทยตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2065 ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้เกิดการพัฒนาโครงการลดก๊าซเรือนกระจกและการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในประเทศไทย

ปัจจุบัน สิงห์ เอสเตท กำลังดำเนินงานด้านคาร์บอนเครดิตตามนโยบายของบริษัท  โดยจะพิจารณาโครงการที่มีศักยภาพในการขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิตในอนาคต ตัวอย่างเช่น โครงการปลูกป่า และโครงการติดตั้งโซลาร์ต่างๆ ของ SIF (Singha Estate Investment Fund) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นสู่การเป็นองค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2030 และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ภายในปี 2050 อันสอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศไทยและประชาคมโลก


คาร์บอนเครดิตเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยช่วยสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจให้กับองค์กรในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก คาร์บอนเครดิตไม่เพียงแต่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังสร้างโอกาสทางธุรกิจและการลงทุนใหม่ๆ อีกด้วย การลงทุนในโครงการที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่เพียงแต่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังสร้างผลตอบแทนทางการเงินที่ดีในระยะยาว ผ่านการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน การเพิ่มมูลค่าทรัพย์สิน และการสร้างรายได้จากคาร์บอนเครดิต


คำถามที่พบบ่อย

Q : ใครเป็นผู้กำหนดมาตรฐานคาร์บอนเครดิต?
A :
มาตรฐานคาร์บอนเครดิตถูกกำหนดโดยองค์กรระดับนานาชาติและระดับประเทศ ในระดับนานาชาติ ได้แก่ The Gold Standard (GS), Verified Carbon Standard (VCS) และ Clean Development Mechanism (CDM) ภายใต้องค์การสหประชาชาติ สำหรับประเทศไทย องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) เป็นผู้กำหนดมาตรฐาน T-VER

Q : ตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตทำงานอย่างไร?
A :
ตลาดคาร์บอนเครดิตทำงานบนหลักการอุปสงค์และอุปทาน โดยผู้พัฒนาโครงการลดก๊าซเรือนกระจกจะได้รับคาร์บอนเครดิตหลังผ่านการตรวจสอบและรับรอง จากนั้นนำไปขายให้กับองค์กรที่ต้องการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มีทั้งตลาดแบบมีศูนย์กลาง (Centralized Exchange) และตลาดนอกศูนย์ (Over-the-Counter)

Q : คาร์บอนเครดิตช่วยลดโลกร้อนได้อย่างไร?
A :
คาร์บอนเครดิตช่วยลดโลกร้อนโดย

  • สร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจให้องค์กรลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 
  • สนับสนุนทางการเงินให้โครงการลดก๊าซเรือนกระจก 
  • ทำให้การลดก๊าซเรือนกระจกเกิดขึ้นในพื้นที่ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด 
  • ส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
Share :