- Home page
- Blogs Room
- Big Data ช่วยพัฒนาธุรกิจอสังหาได้มากกว่าที่คุณคิด
Big Data ช่วยพัฒนาธุรกิจอสังหาได้มากกว่าที่คุณคิด
Big Data คือ การนำข้อมูลจำนวนมากมาหาความสัมพันธ์และทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ยิ่งมีข้อมูลที่มากเท่าไหร่ก็จะช่วยทำให้การคาดการณ์แม่นยำมากขึ้น นั่นแปลว่า ยิ่งเราคาดการณ์ได้ดีมากเท่าไหร่ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนที่ผิดพลาดได้มากขึ้นเท่านั้น และเมื่อมองว่าธุรกิจอสังหาเป็นธุรกิจที่มีการลงทุนสูงรวมถึงขึ้นชื่อว่าสภาพคล่องต่ำกว่าธุรกิจอื่น ทำให้ Big Data จึงจำเป็นจะต้องนำมาใช้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สำหรับใครที่ยังนึกไม่ออกว่า Big Data มีประโยชน์อะไรบ้าง ในกรณีนี้อยากให้นึกถึงเวลาที่เราใช้บริการ Netflix หรือ Youtube ซึ่งระบบที่ทำให้ธุรกิจทั้ง 2 ตัวนี้เป็นที่โด่งดังมาอย่างต่อเนื่อง คือ การแนะนำเนื้อหาของระบบที่มีความแม่นยำและตรงกลุ่มเป้าหมาย ถ้าลูกค้าชอบเพลงนี้ คลิปวิดีโอนี้ ก็น่าจะชอบเพลงหรือวิดีโอประมาณนี้ด้วย แล้วพอเราคลิกเข้าไปในเนื้อหาที่ระบบแนะนำ เรากลับยิ่งชอบและใช้เวลาบนแพลตฟอร์มมากขึ้น เมื่อลูกค้าใช้เวลาอยู่บนแพลตฟอร์มเป็นเวลานานก็หมายถึงรายได้ที่มากขึ้นของแพลตฟอร์มและกิจการ ยิ่งมีคนใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ ระบบแนะนำนี้ก็จะยิ่งทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะมีข้อมูลที่มากขึ้น
ซึ่งแน่นอนว่าในธุรกิจอสังหาเองก็มีการใช้ Big Data เข้ามาหาความสัมพันธ์ของกลุ่มเป้าหมายเช่นกัน ในกรณีที่เราเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เราจำเป็นต้องทำการจำแนกประเภทของกลุ่มประชากรที่มีแนวโน้มสนใจในอสังหาริมทรัพย์ (Segmentation) จากนั้นก็เลือก “กลุ่มเป้าหมาย (Target Group)” ที่เราต้องการเจาะกลุ่ม และทำการหาข้อมูลเชิงลึกของกลุ่มเป้าหมาย (Customer Insight) ให้มากขึ้น ยิ่งเราสามารถสร้างสินค้าและบริการได้ตอบโจทย์พฤติกรรมลูกค้าได้ตรงมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งช่วยทำให้เราขายสินค้าได้สูงมากขึ้นเท่านั้น
สมมติว่า กลุ่มเป้าหมายที่จะมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ของเรา คือ นักลงทุนที่จะลงทุนเพื่อปล่อยเช่าให้กับคนญี่ปุ่น เราก็จะต้องไปหาความต้องการของลูกค้าที่เป็นคนญี่ปุ่นว่าเป็นอย่างไร ตั้งแต่ความชอบ พฤติกรรม รูปแบบในการดำเนินชีวิตของคนญี่ปุ่นที่ไม่เหมือนกับคนไทย เช่น คนญี่ปุ่นอาจจะต้องมีห้องน้ำที่มีขนาดใหญ่และมีอ่างแช่น้ำร้อนเพื่อผ่อนคลายจากการทำงานมาทั้งวัน อาจจะมีออนเซ็นรวมอยู่ใน facility รวมถึงอาจจะต้องมีห้องซาวน่าในฟิตเนส หรืออาจจะเป็นลักษณะการทำงานของคนญี่ปุ่นที่มักจะมีคนขับรถที่มาจอดรถบริเวณล็อบบี้ (Lobby) เป็นต้น
ดังนั้น หากเรามองยังไม่ลึกมากพอ หรือไม่มีข้อมูลที่เพียงพอ มองแค่ว่าลูกค้าเราคือ นักลงทุนไทยที่ต้องการผลตอบแทนจากการลงทุน แต่ไม่ได้มองว่าลูกค้าของเราที่เป็นนักลงทุนต้องการไปปล่อยเช่าให้กับคนญี่ปุ่น นักลงทุนก็อาจจะไม่อยากซื้อ เพราะรู้ว่าลงทุนไปแล้วก็นำไปปล่อยเช่าต่อได้อย่างยากลำบาก
แต่หากเรารู้ว่ากลุ่มลูกค้าต้องการแบบใด เราก็สามารถออกแบบโครงการและพัฒนาให้เข้ากับความต้องการของลูกค้าได้ ในกรณีนี้อาจจะลดพื้นที่ห้องนอนลงแต่ทำให้ห้องน้ำใหญ่ขึ้นเพื่อให้สามารถวาง Jacuzzi Bath ในห้องน้ำได้ รวมถึงการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางบริเวณหน้าล็อบบี้ให้สามารถมีรถมาจอด (Pick-up Point) ได้หลากหลายคัน เพื่อให้คนขับรถสามารถมารอรับคนญี่ปุ่นได้ในตอนเช้า ก็จะช่วยทำให้การตัดสินใจเช่าของลูกค้าง่ายขึ้น และยอมจ่ายค่าเช่าสูงมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
ในทางกลับกันสำหรับคนที่ทำธุรกิจอสังหา แต่ไม่มีการนำข้อมูลมาหรือใช้ Big Data เข้ามา เราก็อาจจะสร้างห้องที่ไม่ตอบโจทย์กับลูกค้าของเราจริง ๆ ว่าลูกค้าเราต้องการอะไร โอกาสในการขายก็จะยิ่งน้อยลง ซึ่งปัจจุบันนี้ลูกค้ามีความต้องการที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นเรื่อย ๆ การทำธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจอสังหาที่หวังจะตอบโจทย์คนทุกกลุ่ม (Mass Market) นั้นเริ่มทำได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะคู่แข่งที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เวลาที่เราจะออกแบบสินค้าและบริการอะไรก็ตาม ควรหันมองมาที่ ความต้องการของลูกค้า (Customer Needs) เป็นหลัก ซึ่งการใช้ Big Data ก็ได้เข้ามามีบทบาทหลักในการช่วยให้มองเห็นความต้องการของลูกค้าที่ชัดเจนมากขึ้นแล้วในทุกวันนี้