- Home page
- Blogs Room
- อสังหาริมทรัพย์ คืออะไร ลงทุนอย่างไรให้ดี
อสังหาริมทรัพย์ คืออะไร ลงทุนอย่างไรให้ดี
ในโลกของการลงทุนที่มีหลากหลายช่องทาง อสังหาริมทรัพย์ยังคงเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์จึงยังคงเป็นที่นิยม ทั้งที่มีทางเลือกการลงทุนใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย คำตอบคือ อสังหาริมทรัพย์มีคุณลักษณะพิเศษที่ให้ความมั่นคงและผลตอบแทนที่น่าพอใจในระยะยาว
อสังหาริมทรัพย์ คืออะไร
อสังหาริมทรัพย์ (Real Estate) หมายถึง ที่ดิน และทรัพย์สินอื่นที่ติดอยู่กับที่ดินมีลักษณะเป็นการถาวรหรือประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดินนั้น ซึ่งไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้โดยง่าย หากทำการเคลื่อนย้ายหรือทำลายจะทำได้อย่างยากลำบาก หรืออาจทำให้ทรัพย์สินนั้นเสียหายหรือเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปจากเดิม
อสังหาริมทรัพย์มีกี่ประเภท
อสังหาริมทรัพย์สามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ตามลักษณะและวัตถุประสงค์ในการใช้งาน โดยสามารถแบ่งได้เป็น 5 ประเภทหลัก ดังนี้
1. อสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย
อสังหาริมทรัพย์ประเภทนี้เป็นประเภทที่คุ้นเคยที่สุด ได้แก่ ที่อยู่อาศัยในรูปแบบต่างๆ ได้แก่
- บ้านเดี่ยว บ้านที่ตั้งอยู่บนที่ดินแยกเป็นแปลงเดี่ยว มีพื้นที่โดยรอบเป็นของตนเอง
- บ้านแฝด บ้านที่มีผนังร่วมกับบ้านข้างเคียงหนึ่งด้าน แต่มีที่ดินและทางเข้าออกแยกเป็นสัดส่วน
- ทาวน์เฮาส์ หรือ ทาวน์โฮม บ้านที่มีผนังร่วมกับบ้านข้างเคียงสองด้าน มีพื้นที่ด้านหน้าและด้านหลัง
- คอนโดมิเนียม ห้องชุดในอาคารสูง มีพื้นที่ส่วนกลางที่ใช้ร่วมกัน
- อพาร์ตเมนต์ อาคารที่แบ่งเป็นห้องเช่า ส่วนใหญ่มีเจ้าของคนเดียว
- หอพัก ที่พักอาศัยรวมสำหรับนักเรียน นักศึกษา หรือคนทำงาน
การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยสามารถสร้างรายได้ผ่านการปล่อยเช่าระยะสั้นหรือระยะยาว และมีโอกาสได้กำไรจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าทรัพย์สินเมื่อขายในอนาคต
2. อสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์
อสังหาริมทรัพย์ประเภทนี้ใช้สำหรับดำเนินธุรกิจและกิจกรรมเชิงพาณิชย์ ได้แก่
- อาคารสำนักงาน สำหรับเป็นที่ทำงานของบริษัทและองค์กรต่างๆ
- ศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า สถานที่รวมร้านค้าและพื้นที่พาณิชยกรรม
- อาคารพาณิชย์ อาคารที่ใช้ทั้งเพื่อการค้าและที่อยู่อาศัย มักมีร้านค้าด้านล่างและที่อยู่อาศัยด้านบน
- โรงแรม สถานที่พักแรมสำหรับนักเดินทาง
- ตลาด พื้นที่สำหรับซื้อขายสินค้าและบริการ
- ศูนย์ประชุม สถานที่สำหรับจัดงานและการประชุมขนาดใหญ่
อสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์มักให้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงกว่าที่อยู่อาศัย แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงและความผันผวนที่มากขึ้นด้วย
3. อสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรม
อสังหาริมทรัพย์ประเภทนี้ใช้สำหรับกิจการอุตสาหกรรม การผลิต การจัดเก็บ และการขนส่งสินค้า ได้แก่ :
- โรงงาน อาคารสำหรับการผลิตสินค้า
- คลังสินค้า สถานที่เก็บสินค้าและวัตถุดิบ
- ศูนย์กระจายสินค้า สถานที่สำหรับรับและส่งสินค้าไปยังจุดหมายปลายทาง
- นิคมอุตสาหกรรม พื้นที่ที่จัดสรรไว้สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ
การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมมักต้องใช้เงินลงทุนสูงและมีข้อกำหนดทางกฎหมายมากกว่าประเภทอื่น แต่ก็สามารถให้ผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว
4. อสังหาริมทรัพย์เพื่อการเกษตร
อสังหาริมทรัพย์ประเภทนี้หมายถึงที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้สำหรับการเกษตรกรรม เช่น ที่นา ที่สวน ที่ไร่ ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ เรือนเพาะชำ โรงเรือนการเกษตร และพื้นที่ปลูกพืชต่าง ๆ รวมถึงบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ นักลงทุนสามารถสร้างรายได้จากอสังหาริมทรัพย์ประเภทนี้ผ่านการทำเกษตรกรรมเอง การให้เช่าที่ดินเพื่อทำการเกษตร หรือการซื้อเก็งกำไรในที่ดินที่มีศักยภาพในการพัฒนาในอนาคต
5. อสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักผ่อน
อสังหาริมทรัพย์ประเภทนี้ใช้สำหรับกิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจและการท่องเที่ยว ได้แก่
- รีสอร์ต ที่พักตากอากาศในแหล่งท่องเที่ยว
- วิลล่า บ้านพักตากอากาศส่วนตัว
- พูลวิลล่า บ้านพักตากอากาศที่มีสระว่ายน้ำส่วนตัว
- สนามกอล์ฟ สถานที่สำหรับกีฬากอล์ฟพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก
- สวนสนุก สถานที่พักผ่อนที่มีเครื่องเล่นและกิจกรรมความบันเทิง
อสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักผ่อนมักมีความผันผวนสูงและได้รับผลกระทบจากฤดูกาลท่องเที่ยว แต่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีในช่วงไฮซีซั่น
การแบ่งประเภทของอสังหาริมทรัพย์ช่วยให้นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนให้ตรงกับเป้าหมายและกลยุทธ์การลงทุนของตน โดยแต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะ ความเสี่ยง และโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่แตกต่างกัน นักลงทุนที่ดีควรศึกษาและทำความเข้าใจอสังหาริมทรัพย์แต่ละประเภทอย่างลึกซึ้งก่อนตัดสินใจลงทุน
วิธีสร้างรายได้จากอสังหาริมทรัพย์
อสังหาริมทรัพย์สามารถสร้างรายได้และผลตอบแทนให้กับนักลงทุนได้หลายรูปแบบ แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียและความเหมาะสมกับสถานการณ์ที่แตกต่างกัน นักลงทุนควรเข้าใจวิธีสร้างรายได้ต่างๆ เพื่อเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับเป้าหมายและทรัพยากรที่มี
การปล่อยเช่าระยะยาว
การปล่อยเช่าระยะยาว โดยทั่วไปหมายถึงการทำสัญญาเช่า 1 ปีขึ้นไป เป็นวิธีที่นิยมมากที่สุดในการสร้างรายได้จากอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน หรือพื้นที่พาณิชย์ ข้อดีของการปล่อยเช่าระยะยาวคือรายได้มีความสม่ำเสมอ มีความเสี่ยงต่ำในด้านอัตราการเช่า และผู้ลงทุนไม่ต้องจัดการเรื่องการหาผู้เช่าใหม่บ่อยครั้ง
การปล่อยเช่าระยะสั้น
การปล่อยเช่าระยะสั้น เช่น รายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือน สามารถให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการปล่อยเช่าระยะยาว โดยเฉพาะในทำเลท่องเที่ยวหรือพื้นที่ที่มีความต้องการพักอาศัยระยะสั้น เช่น ใกล้โรงพยาบาล สถาบันการศึกษา หรือสถานที่จัดงานประชุมสัมมนา
การเพิ่มมูลค่าและขายต่อ (Fix and Flip)
กลยุทธ์นี้เกี่ยวข้องกับการซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาต่ำกว่าตลาด อาจเนื่องจากสภาพทรุดโทรม ปัญหาทางกฎหมาย หรือเจ้าของต้องการขายเร่งด่วน จากนั้นทำการปรับปรุง ซ่อมแซม หรือรีโนเวทให้มีสภาพดีขึ้น แล้วขายต่อในราคาที่สูงขึ้น
การลงทุนในตราสารที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์
นอกจากการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โดยตรง นักลงทุนยังสามารถสร้างรายได้จากอสังหาริมทรัพย์ผ่านการลงทุนในตราสารทางการเงินที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
- กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund) และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ซึ่งลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และจ่ายผลตอบแทนให้ผู้ถือหน่วยในรูปของเงินปันผล
- หุ้นของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งอาจให้ผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลและกำไรจากการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้น
การลงทุนระยะยาวในอสังหาริมทรัพย์ต้องอาศัยความอดทน วินัย และการวางแผนที่ดี แต่ด้วยการเลือกทรัพย์สินที่มีคุณภาพ การบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ และการปรับตัวตามสภาวะตลาด นักลงทุนสามารถสร้างความมั่งคั่งและความมั่นคงทางการเงินในระยะยาวจากการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างยั่งยืน
ปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการลงทุนลงอสังหาริมทรัพย์อย่างไรให้ดี
เมื่อพิจารณาการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ นักลงทุนควรเลือกประเภทที่เหมาะสมกับเป้าหมายการลงทุน ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และจำนวนเงินทุนที่มี ต่อไปนี้คือประเภทของอสังหาริมทรัพย์ที่น่าลงทุนในปัจจุบัน
1. ที่อยู่อาศัยในทำเลศักยภาพ
ที่อยู่อาศัยในเขตเมืองหรือพื้นที่ที่กำลังพัฒนา โดยเฉพาะในทำเลที่ใกล้ระบบขนส่งมวลชน เช่น รถไฟฟ้า MRT หรือ BTS ในกรุงเทพฯ มักเป็นที่ต้องการของผู้เช่าและผู้ซื้อ ทำให้สามารถสร้างรายได้จากการปล่อยเช่าและมีโอกาสได้กำไรจากการขายในอนาคต ที่อยู่อาศัยประเภทนี้ยังมีความผันผวนต่ำกว่าอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ และเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความมั่นคงในระยะยาว
บ้านเดี่ยวในโครงการจัดสรร คอนโดมิเนียมระดับกลางถึงพรีเมียม และทาวน์โฮมในทำเลที่ดี มักเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับนักลงทุนทั่วไป เนื่องจากมีสภาพคล่องสูงในการซื้อขาย และยังสามารถใช้เป็นที่อยู่อาศัยของตนเองได้หากจำเป็น
2. อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์
อาคารสำนักงาน พื้นที่ค้าปลีก และอาคารพาณิชย์ สามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงกว่าที่อยู่อาศัยทั่วไป โดยเฉพาะในทำเลที่มีการสัญจรหนาแน่นหรือเป็นย่านธุรกิจ อย่างไรก็ตาม อสังหาริมทรัพย์ประเภทนี้มักต้องใช้เงินลงทุนสูงและมีความเสี่ยงมากกว่า เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจมากกว่าที่อยู่อาศัย นักลงทุนที่สนใจอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ควรมีความรู้เกี่ยวกับตลาดและแนวโน้มธุรกิจในพื้นที่นั้นๆ และควรพิจารณาปัจจัยเช่น การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค การแข่งขันในพื้นที่ และแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในอนาคต
3. ที่ดินเปล่าในพื้นที่ที่มีแนวโน้มเติบโต
การลงทุนในที่ดินเปล่าในพื้นที่ที่มีศักยภาพในการพัฒนาในอนาคต เช่น บริเวณที่มีแผนการสร้างถนน รถไฟฟ้า หรือสาธารณูปโภคสำคัญ สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว นักลงทุนอาจถือครองที่ดินไว้เพื่อรอการเพิ่มมูลค่า หรือพัฒนาโครงการบนที่ดินนั้นเมื่อถึงเวลาเหมาะสม
4. อสังหาริมทรัพย์เพื่อการท่องเที่ยวและพักผ่อน
ในพื้นที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา หรือหัวหิน อสังหาริมทรัพย์เพื่อการท่องเที่ยวและพักผ่อน เช่น วิลล่า คอนโดตากอากาศ หรือรีสอร์ตขนาดเล็ก สามารถสร้างรายได้จากการปล่อยเช่าระยะสั้นแก่นักท่องเที่ยวได้ดี
อย่างไรก็ตาม อสังหาริมทรัพย์ประเภทนี้มีความเสี่ยงจากความผันผวนของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และการแข่งขันที่สูง นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยเช่น ความมั่นคงของกระแสนักท่องเที่ยว ฤดูกาลท่องเที่ยว และการจัดการทรัพย์สินในระยะยาว
5. กองทุนอสังหาริมทรัพย์ (REIT)
สำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์แต่มีข้อจำกัดด้านเงินทุน หรือไม่ต้องการรับภาระในการบริหารจัดการทรัพย์สินเอง กองทุนอสังหาริมทรัพย์หรือ REIT (Real Estate Investment Trust) เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ กองทุนเหล่านี้ระดมทุนจากนักลงทุนรายย่อยเพื่อไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ เช่น อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า โรงแรม หรือโรงงานอุตสาหกรรม และจ่ายผลตอบแทนให้แก่ผู้ลงทุนในรูปแบบของเงินปันผล
S PRIME ทางเลือกการลงทุนที่มั่นคงและยั่งยืน
S PRIME หรือทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เอส ไพรม์ โกรท เป็นกองทุนที่ลงทุนในทรัพย์สินหลักโดยตรงหรือโดยทางอ้อมผ่านการถือหุ้นในบริษัทที่จัดตั้งขึ้นเพื่อลงทุนในอสังหาริมทรัพย์หรือสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ S PRIME ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทอาคารสำนักงานให้เช่า ร้านค้า ห้องประชุม และที่จอดรถ รวมถึงอสังหาริมทรัพย์อื่นใดที่เกี่ยวข้องกับ สนับสนุน หรือส่งเสริมธุรกิจการให้เช่าพื้นที่อาคารสำนักงาน
วิสัยทัศน์ของ S PRIME คือ "สร้างการเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืนให้กับผู้ถือหน่วยลงทุน ภายใต้กรอบของบรรษัทภิบาลและการกำกับดูแลกิจการที่ดี ตลอดจนสร้างคุณค่าที่ยั่งยืน สมดุล ให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม"
ด้วยจุดเด่นในการลงทุนในอาคารสำนักงานคุณภาพสูงในทำเลศักยภาพ การบริหารจัดการโดยทีมผู้เชี่ยวชาญ และการสนับสนุนจากสิงห์ เอสเตท ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ S PRIME จึงเป็นทางเลือกการลงทุนที่โดดเด่นสำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสม่ำเสมอจากการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์คุณภาพ รวมไปถึงการที่ S PRIME มีผู้ถือหน่วยที่แข็งแกร่ง เช่น บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) สำนักงานประกันสังคม และบริษัทประกันชีวิตชั้นนำ แสดงถึงความเชื่อมั่นจากนักลงทุนสถาบันในศักยภาพการเติบโตของกองทุน
การลงทุนใน S PRIME จึงเปรียบเสมือนการได้เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมียมในทำเลศักยภาพของกรุงเทพฯ พร้อมรับผลตอบแทนที่มั่นคงและโอกาสการเติบโตในระยะยาว ภายใต้การบริหารจัดการโดยมืออาชีพ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างยั่งยืนให้แก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์ทุกราย
อสังหาริมทรัพย์เป็นการลงทุนที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องเพราะให้ความมั่นคงและผลตอบแทนที่น่าพอใจในระยะยาว มีหลากหลายประเภท ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์เพื่อการเกษตร การอยู่อาศัย การพาณิชย์ การอุตสาหกรรม และการพักผ่อน โดยแต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะและให้ผลตอบแทนที่แตกต่างกัน นักลงทุนสามารถสร้างรายได้จากการปล่อยเช่าระยะสั้นหรือระยะยาว การเพิ่มมูลค่าและขายต่อ หรือการลงทุนผ่านตราสารทางการเงินเช่นกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์หรือ REIT ทั้งนี้ การลงทุนที่ประสบความสำเร็จต้องอาศัยการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้ง การวางแผนทางการเงินที่ดี และการพิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบ เพื่อสร้างความมั่งคั่งและความมั่นคงทางการเงินอย่างยั่งยืนในระยะยาว